แนะใช้ภาษีที่ดินอัตราเดียว เอกชนร้องทบทวนรอบด้านกันผลกระทบ ชี้ต้องเป็นระดับที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
เอกชนเสนอภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รัฐควรออกมาในรูปแบบอัตราเดียวที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กรรมการบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่รัฐบาลจะประกาศใช้บังคับในปี 2562 ว่า ควรจะต้องทำอัตราภาษีเดียว แต่เป็นอัตราที่ทุกคนรับได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับมูลค่าของทรัพย์สิน และก็ต้องลดการยกเว้นให้หมด ราคาประเมินก็มาจากกรมธนารักษ์ หรือสิ่ง ปลูกสร้างมาจากการพิจารณาของกรม โยธาธิการจะทำให้ง่าย เวลาคูณก็เข้าใจง่าย
"การจัดเก็บเรตเดียวไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชย กรรม ที่อยู่อาศัย เหมือนกันแต่ว่าฐานของทรัพย์สินนั้นไม่เท่ากัน จึงต้องทำให้ง่ายไม่ต้องมีการตีความ การใช้ดุลพินิจไม่ต้องเป็นในลักษณะที่ออกไปต่อรอง จะทำให้เกิดปัญหาน้อยลง ต้องพยายามลดทุกจุดที่จะต้องใช้ดุลพินิจ เปิดกระดาษมาเข้าใจเหมือนกันทั้งคนจัดเก็บ ทั้งคนถูกเก็บ" นายอธิป กล่าว
นอกจากนี้ การยกเว้นการจัดเก็บที่อยู่อาศัยก็ยกเว้นประเภทหนึ่ง อย่างเช่นยกเว้น 50 ล้านบาทแรกของราคาบ้าน ประเด็นดังกล่าวมีการวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางมากถามว่ามาจากไหน มีการคำนวณพบว่าบ้านที่เกินราคา 50 ล้านบาท มีประมาณหลัก 1,000 ยูนิต แสดงว่าจะจัดเก็บได้ไม่มาก เพราะต้องไปเก็บกับบ้านหลังที่สอง สาม สี่ แต่บ้านเหล่านั้นคนก็ ไม่ค่อยกล้าจะถือครอง เพราะจะกระทบบางคนที่จะสะสมบ้านไว้ให้กับลูกหลาน ซึ่งอาจจำเป็นต้องนำมาพิจารณา ส่วนตลาดบ้านตากอากาศกระทบแน่นอน
สำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่า ทุกจังหวัดทุกชุมชนจะต้องมีพื้นที่โล่ง ซึ่งทำให้ขัดแย้งกันเอง เพราะว่าเราต้องการให้มีที่โล่งทั่วไปของภาคเอกชน บางที่ผังเมืองกำหนดเป็นพื้นที่รับน้ำ การโอนสิทธิทางกฎหมายนั้นเชื่อว่ามีการพิจารณาแล้ว ยกตัวอย่างบางกระเจ้า ห้ามจัดสรร ห้ามทำพาณิชยกรรม ห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ จึงขึ้นอยู่กับการตีความเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและเกิดการเบี่ยงเบนไปใช้อย่างอื่น
นายอธิป กล่าวว่า มีหลายกรณีที่ควรทบทวน เช่น ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่เอาไว้ดูดซับน้ำฝน เพราะหากให้ทุกคนนำที่ดินออกมาพัฒนา ก็จะไม่มีที่ดินดูดซับน้ำฝนก็จะทำให้ที่ดินมีน้ำท่วม น้ำขังมากขึ้น ไม่มีที่โล่งว่างเปล่า เป็นต้น รวมทั้งต้องวิเคราะห์ผู้ที่จะได้รับผล กระทบจากภาษี อย่างธุรกิจเอสเอ็มอี ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อาจกระทบต่อธุรกิจจากเดิมที่ไม่ได้เสียภาษีกลับต้องมาเสียภาษีโรงเรือน เป็นต้น
สำหรับธุรกิจโรงแรมปัจจุบันอัตราการเข้าพักนั้นค่อนข้างแย่ ซึ่งเดิมที่จ่ายบนฐานของการเช่า แต่เปลี่ยนมาคิดใหม่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีลูกค้า จะต้องจ่ายภาษีอยู่บนราคาของฐานราคาทรัพย์สิน อาจจะทำให้ธุรกิจนี้ล้มหายตายจากได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
28 สิงหาคม 2560