แสนสิริเปิดแผนดันยอดตปท.-บุกทาวน์เฮาส์
ปี 2561 "แสนสิริ" ประกาศกลยุทธ์การบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยมี 3 แนวทางที่น่าจับตามอง คือ การรุกเพิ่มสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น, การกลับมาปูพรมตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้น และการขยายไปยังต่างจังหวัด 6 แห่ง
อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภายใต้โรดแมพธุรกิจ “Tomorrow is Unfolded” มี 7 กลยุทธ์สำคัญที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายสู่ 3 นิวไฮ ได้แก่ เป้าหมายพรีเซลสูงสุด 4.5 หมื่นล้านบาท เปิดตัวโครงการใหม่กว่า 31 โครงการด้วยมูลค่ากว่า 6.32 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการที่จะกลับไปรุกมากขึ้นคือ ทาวน์เฮาส์ ที่มีถึง 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 9,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% วางระดับราคาอยู่ที่ 1.9-3 ล้านบาท
เหตุผลที่กลับมารุกตลาดทาวน์เฮาส์มากขึ้น เพราะราคาที่ดินปัจจุบันปรับสูงขึ้น คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ติดรถไฟฟ้าราคาอาจถึง 2 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนบ้านเดี่ยวที่อยู่ในระยะขับรถใจกลางเมืองในระยะ 1-1.5 ชั่วโมง ราคาก็สูงถึง 5-7 ล้านบาท ดังนั้นจึงมีกลุ่มราคาในระดับทาวน์เฮาส์ ที่ตลาดยังต้องการอีกมากในบริเวณกระจายทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งเมื่อพื้นฐานเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น เชื่อว่ากำลังซื้อกลุ่มนี้จะกลับมาดีขึ้นแน่นอน
ในจำนวน 31 โครงการเปิดใหม่ มีที่ดินที่พร้อมพัฒนาอยู่แล้ว นอกจากทาวน์เฮาส์ ยังมีคอนโด 12 โครงการรวมกว่า 3.35 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 53% บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 2.01 หมื่นล้านบาท สัดส่วนกว่า 32% ซึ่งในจำนวนโครงการเหล่านี้ จะมีการเปิดตัวในต่างจังหวัด 6 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต, เชียงใหม่, ขอนแก่น, หาดใหญ่, พัทยา, หัวหิน โดยส่วนใหญ่ 5 แห่งยังเป็นคอนโด และ 1 แห่งเป็นบ้านเดี่ยว ทำให้ภาพรวมสัดส่วนของโครงการในต่างจังหวัดคิดเป็น 23% เทียบกับโครงการในกรุงเทพฯ มีอยู่ 77%
ทั้งนี้ เป้าหมายของกลุ่มลูกค้าสำคัญในปี 2561 ได้แก่ “ตลาดต่างประเทศ” ซึ่ง อุทัย กล่าวว่าได้เริ่มเข้าไปสร้างรากฐานมา 4 ปี และปีนี้เข้าสู่ปีที่ 5 ทำให้มีการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ จีน-ฮ่องกง, สิงคโปร์ โดยมีสำนักงานตัวแทนการขายแล้ว 6 แห่งที่ เซี่ยงไฮ้, ปักกิ่ง, เซินเจิ้น, กวางโจว ในจีน, 1 แห่งที่สิงคโปร์ รวมถึงเมื่อต้นปีเปิดสำนักงานขายล่าสุดที่ ฮ่องกง ขณะที่ตลาดใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้าไปรุกมากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และไต้หวัน
ปี 2560 มียอดขายจากต่างประเทศกว่า 9,300 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตกว่า 72% ดังนั้นในปี 2561 จึงวางเป้าหมายการเติบโตไว้สูงถึง 40% หรือคิดเป็นยอดกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท เพราะประเมินว่าภาพรวมของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในทิศทางที่สดใส โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศจีนที่เป็นตลาดใหญ่ ยังมีจีดีพีเติบโตดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนกลยุทธ์อื่นๆ ที่สำคัญคือ การเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำ หลังจากที่ร่วมมือกับกลุ่มบีทีเอสและโตคิว และยังมีโครงการที่จะพัฒนาอีก 4-6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.2-1.9 หมื่นล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมี “เรสซิเดนส์” อีก 2 แบรนด์ใหม่ ที่เป็นผลมาจากการที่แสนสิริเข้าไปลงทุนกับธุรกิจต่างชาติ ได้แก่ โครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ และ โมโนเคิล เรสซิเดนซ์ เป็นครั้งแรกของโลก
“โครงการเรสซิเดนซ์ทั้ง 2 แบรนด์ ยังอยู่ระหว่างการดูทำเลที่เป็นไปได้ แต่สำหรับเดอะ สแตนดาร์ด จะใกล้เคียงกับ ริทซ์ คาร์ลตัน ซึ่งลูกค้าของเรสซิเดนส์เข้าถึงบริการของโรงแรมที่จะตั้งใกล้ในพื้นที่เดียวกันได้ ส่วนโมโนเคิล จะเป็นแบรนด์ในลักษณะเดียวกับการพัฒนา 98 ไวร์เลส คอนโดหรูของแสนสิริ ที่เป็นการร่วมมือของแบรนด์ไลฟ์สไตล์มาสร้างที่พักอาศัย”
ส่วนกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ มีบริษัท JustCo ที่เข้าไปลงทุน กำลังเตรียมเปิด 4 สาขาในปีนี้ ประเดิม 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพ.ค. และอาคาร All Seasons Place ในเดือนส.ค. โดยจะให้สิทธิพิเศษบางส่วนในช่วงเปิดตัวกับลูกค้าโครงการแสนสิริด้วย
ปีนี้เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดเซ็กเมนท์ใหม่จำนวน 4 โครงการ ที่ออกแบบเฉพาะตัวเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Lab Room และ Lab House ที่เรียกเป็นการภายในว่า Haus 2025 สำหรับการทดสอบห้องและบ้านเพื่ออนาคต โดยรวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้วย
สำหรับผลประกอบการในปี 2560 มียอดพรีเซลกว่า 3.86 หมื่นล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2559 จากการเปิดตัวโครงการกว่า 14 โครงการ มูลค่ารวม 3.72 หมื่นล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/790519