นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ชี้กรุงเทพฯ เป็นแค่เมืองโตเดี่ยว แนะผู้ประกอบการกระจายลงทุนจังหวัดเมืองรองรับสาธารณูปโภคขยายตัว
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ปัจจุบันพื้นที่ในโลกแบ่งประโยชน์การใช้ที่ดินออกเป็นเมือง 50% ชนบท 50% คาดว่าภายใน 30 ปี ข้างหน้า พื้นที่ของเมืองจะมีสัดส่วน 72% ส่วนชนบทจะเหลือ 28% เนื่องจากเมืองจะขยายตัวมากขึ้น โดยมีองค์ประกอบหลักจากการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่เมืองขยายตัว ขณะที่แนวโน้มของเมืองใหญ่ในระดับภูมิภาคของไทยจะมีมากขึ้นจากเดิมมีแค่รายภาคอย่างเช่นเชียงใหม่ รวมไปถึงเมืองบริวาร เพื่อรับกับการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภค โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูง
ทั้งนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกัมพูชาเมื่อ 5 ปีก่อนที่ดินยังไม่บูมเท่าเวลานี้ แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการจะเข้าไปซื้อเพื่อพัฒนาโครงการเริ่มไม่ทันแล้ว เห็นได้จากในกรุงพนมเปญราคาที่ดินแพงกว่าในกรุงเทพฯ การพัฒนาโครงการจัดสรรขายดีเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการจะต้องคำนึงถึงแนวคิดกรีน หรือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงานให้มากขึ้นด้วย อย่างเช่น ในนอร์เวย์ สวีเดน ให้อินเซ็นทีฟ ผู้ประกอบการมากขึ้น เช่น ไม่ใช้สีทาอาคาร แต่ใช้วิธีการเผาเปลือกไม้มาใช้ทาสีอาคารแทนโดยใช้วิธีที่คำนึงการอนุรักษ์พลังงาน เนื่องจากในอนาคตกลุ่มผู้ที่ซื้ออสังหาฯ ในเมืองไทย โดยเฉพาะคอนโดจะมี ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ทุกขั้นตอนการก่อสร้างจะต้องได้มาตรฐานสากล
นายอธิป กล่าวว่า ในอนาคตการแข่งขันของธุรกิจจะไม่ได้แข่งกันแค่ระดับประเทศแล้ว อย่างเช่น ไทยแข่งขันกับเวียดนาม แต่จะเป็นการรวมตัวเพื่อแข่งขันระดับภูมิภาค เหมือนกับกลุ่มประเทศ อียูในทวีปยุโรป ซึ่งในไทยจะเป็นภูมิภาคอาเซียนรวมตัวกันแข่งขัน ซึ่งการร่วมตัวกันนั้นจะสร้างประโยชน์ร่วมกันได้มากขึ้น โดยจะต้องพิจารณาว่าแต่ละประเทศมีความสามารถทางด้านใด ไม่ได้แข่งขันกันในเรื่องเดียวกัน
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในยุคปัจจุบันต้องเอาเทคโนโลยีในหลายด้านมาใช้เพื่อลดต้นทุนและทำให้สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะทางด้านไอโอทีรวมถึง 5จี ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
22 ตุลาคม 2561