ริชี่เพลซ หวั่นเกณฑ์คุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยกระทบ ต้องเพิ่มเงินดาวน์คอนโดจาก 10% เป็น 15% เล็งขยายพอร์ตลงทุนแนวราบ
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการควบคุม สินเชื่อที่อยู่อาศัย LTV (Loan To Value) ไม่เกิน 80% หรือต้องวางเงินดาวน์ 20% สำหรับการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาที่สองซึ่งตามกำหนดเดิม ธปท.เตรียมประกาศใช้ในเดือน ม.ค. 2562 นั้น ขณะนี้บริษัทได้เริ่มเก็บเงินดาวน์โครงการใหม่ที่จะเปิดขายเพิ่มอีก 5% เป็น 15% จากเดิมเก็บเงินดาวน์อยู่ 10%
สำหรับแผนการลงทุนในระยะยาวนั้น บริษัทมีแผนจะขยายพอร์ตการลงทุนโครงการแนวราบมากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 5% อีก 95% เป็นโครงการแนวสูง เนื่องจากการพัฒนาโครงการแนวราบนั้นกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ซื้ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก
ขณะที่แผนในปี 2562 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะนี้มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการแล้ว 3 โครงการ โดยบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินเฉลี่ยปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2562 เตรียมเปิดตัวโครงการเดอะริช เอกมัย ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 8 จำนวน 492 ยูนิต สูง 46 ชั้น บนเนื้อที่ 1 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท
นางอาภา กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการเดอะริช พระราม 9-ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น รูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่า 2,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 1.2 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในตลาดประมาณ 30% ที่มีราคาขายอยู่ที่ 1.8-2 แสนบาท/ตร.ม. โดยจะเริ่มเปิดขาย 3 พ.ย.นี้ คาดว่าจะสามารถทำยอดขายในช่วงเปิดพรีเซลส์ได้ 50%
ปัจจุบันราคาที่ดินย่านถนนศรีนครินทร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีการปรับราคาขึ้นแล้ว 80% หรือเฉลี่ยปรับขึ้นปีละ 20% ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่จะอยู่ในมือของเศรษฐีและส่วนใหญ่จะไม่ยอมประกาศขาย
ทางด้านกลยุทธ์การทำตลาดในช่วงเปิดโครงการใหม่ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้สื่อออนไลน์และสื่อกลางแจ้งจำนวน 50 ล้านบาท โดยเตรียมจัดงานริชี่ ไฟนัล ไพรส์ เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี ระหว่างวันที่ 8-14 พ.ย. ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว คาดว่าจะทำยอดขายได้ 400 ล้านบาท และเตรียมจัดงานเอเย่นต์เดย์ ที่โครงการเดอะริช เพลินจิต นานา ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. คาดว่าจะทำยอดขายได้ 150 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการในปี 2561 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท เติบโตกว่าเท่าตัวจากปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 1,327 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมียอด ขายรอโอน หรือแบ็กล็อก 4,000 ล้านบาท โดยมีสินค้าอยู่ระหว่างการขาย 9,300 ล้านบาท โดยเป็นโครงการพร้อมโอนจำนวน 6 โครงการ 4,100 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1,200 ยูนิต
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
30 ตุลาคม 2561