ณวรางค์ฯ คาดอสังหาฯ ยูนิตละ 3 ล้านขึ้นไปยังโต กางแผน 3 ปี ผุดโครงการใหม่รวมกว่า 5,000 ล้าน ปีหน้านำร่องเปิด 2 โปรเจกต์

นายอภิภู พรหมโยธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท เปิดเผยว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ตลาดยังมีทั้งปัจจัยบวกและลบ ซึ่งผู้ประกอบการรายเล็กจะเหนื่อยกว่ารายใหญ่ ขณะที่สต๊อกซัพพลายในตลาดยังมีเป็นจำนวนมากและบางทำเลโอเวอร์ซัพพลายเช่นแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นต้น ส่วนสายสีเขียวตอนปลายสินค้ามีเยอะ รวมทั้งโครงการที่พึ่งผู้ซื้อจากต่างชาติหวั่นจะมีปัญหา แต่ในหลายเซ็กเมนต์ยังมีโอกาส เช่น ที่อยู่อาศัยระดับ 3 ล้านบาทขึ้นไปยังเติบโตดี โดยตลาดเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือลงทุนระยะยาวมากกว่าระยะสั้น

สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี โดยในปี 2562 มีแผนจะเปิดตัวอย่างน้อย 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ขณะนี้มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการแล้ว 2 แปลง คือ บริเวณพหลโยธินและเจริญนคร โดยจะเริ่มโครงการแรกที่พหลโยธินภายใต้ชื่อ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ เป็นคอนโดลักซ์ชัวรี่สูง 8 ชั้น 50-60 ยูนิต บนที่ดิน 200 ตารางวา (ตร.ว.) มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท ราคาขาย 3 ล้านบาทขึ้นไป หรือเฉลี่ยที่ 1.4 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.)

ขณะที่อีกโครงการเป็นคอนโดไฮไรส์สูง 30 ชั้น ย่านเจริญนครมูลค่าโครงการราว 1,300 ล้านบาท 200 ยูนิต ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและวางโปรดักต์คาดจะเปิดตัวช่วงปลายไตรมาสแรกปี 2562 นอกจากนี้ยังมองหาที่ดินศักยภาพทั้งย่านศูนย์กลางธุรกิจ เช่น พหลโยธิน อารีย์ เป็นต้น

ทั้งนี้ เพราะซัพพลายใหม่ยังไม่เยอะและราคาที่ดินยังไม่แพงมาก สามารถนำมาพัฒนาโครงการที่ลูกค้าคนไทยจับต้องได้คือ ตั้งแต่สถานีบีทีเอสอนุสาวรีย์ฯ จนถึงอารีย์ราคาเสนอขายที่ดินอยู่ที่ตารางวาละ 1.2-1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงที่มีราคาเสนอขายสูงสุด ส่วนเส้นพหลโยธินราคาอยู่ที่ 3-8 แสนบาท/ตร.ว. ขึ้นอยู่กับทำเล รวมทั้งแนวรถไฟฟ้าสายหลักและส่วนต่อขยาย ยกเว้นสุขุมวิทตอนปลายเพราะยังมีซัพพลายอยู่มาก โดยตั้งงบซื้อที่ดินในปีหน้าราว 500-600 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี การพัฒนาโครงการของบริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง โดยมีแผนการพัฒนาปีละ 2-3 โครงการในทำเลที่มีศักยภาพเพื่อสามารถสร้าง ขาย โอน ปิดโครงการได้จริง

ด้านโครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ที่เปิดขายเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา กระแสตอบรับดี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70% ซึ่งจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้น 5% ในต้นปีหน้า คาดปิดการขายทั้งโครงการราวไตรมาสแรกปี 2562 สำหรับปีนี้บริษัทมียอดขายที่ 168 ล้านบาท รับรู้รายได้ 400 ล้านบาท

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 ธันวาคม 2561