กลุ่มอสังหาฯ กำไรทรุดฮวบ พิษโควิดกดดัน "ยอดขาย-ยอดโอน" วูบ โบรกเกอร์เตรียมหั่นเป้ากำไรปีนี้ลง 1 หมื่นล้าน เหตุรายได้หด แต่ต้นทุนยังสูง คาดไตรมาส 2 ผลดำเนินงานกลุ่มทรุดหนัก ด้าน "ออลล์ อินสไปร์" โชว์กำไรโตสวนตลาด ไตรมาสแรกขยายตัว 16.5% ผู้บริหารชี้ผลจากการบริหารค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตามมีเพียงบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ที่กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 16.5% โดยมีกำไรสุทธิ 113 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 97 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการกลุ่มอสังหาฯที่ทยอยประกาศออกมาส่วนใหญ่ต่ำกว่าที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะปัญหาจากยอดขายและยอดโอนชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อให้ปรับตัวลดลง รวมถึงกลุ่มลูกค้าบางส่วนยังไม่สามารถส่งมอบได้ เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้ (ยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น) จึงให้การรับรู้รายได้ในงวดดังกล่าวปรับตัวลดลง ซึ่งสวนทางกับด้านต้นทุนการขายยังคงอยู่ในระดับสูง
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 คาดว่ากำไรของกลุ่มอสังหาฯจะถูกแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง และอาจประกาศงบออกมาต่ำที่สุดของปีนี้ เนื่องจากการรับรู้ผลกระทบจากโควิด-19 ที่เต็มไตรมาสและผลพวงจากวิกฤติดังกล่าวที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อให้ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะยอดขายของโครงการอสังหาฯแนวสูงหรือคอนโดฯที่คาดว่าจะลดลงจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มอสังหาฯที่ฝ่ายวิจัยมีบทวิเคราะห์ครอบคลุม 16 บริษัท ปี 2563 ลงอีกไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กำไรกลุ่มฯปีนี้เหลือเพียง 2.6 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาท
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL กล่าวว่ากำไรสุทธิของบริษัทที่เติบโตขึ้นในช่วงไตรมาสแรกนั้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีการบริหารค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ดีขึ้น ประกอบกับมีการปรับราคาขายบางโครงการขึ้นหลังจากสร้างเสร็จ ซึ่งเป็นเพราะช่วงพรีเซลบริษัทมีการตั้งราคาขายไว้ไม่ได้สูงมากนัก เนื่องจากมีต้นทุนด้านที่ดินที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ จึงทำให้มีการปรับขึ้นราคาขายได้และมาร์จินปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 น่าจะเหนื่อยน้อยกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา เพราะคาดหวังว่า รัฐบาลน่าจะมีการผ่อนคลายและมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น ส่วนภาพรวมรายได้ปีนี้ยังคงคาดว่าจะเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 2.91 พันล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัท มียอดขายรอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท และมีโครงการที่สร้างแล้วเสร็จในปีนี้จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมราว 6-7 พันล้านบาท ซึ่งหากรับรู้ ยอดโอนฯได้ประมาณ 50% ก็น่าจะรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้ตามเป้า
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ : 14 พฤษภาคม 2563