โนเบิลพลิกเกม ยอดขายคอนโดหรูอืด เร่งปั้นแบรนด์ "นิว" ขยายฐานลูกค้าคอนโดระดับ 2-3 ล้าน ผุด 3 โครงการไตรมาส 3 หวังดันยอดขาย เพิ่มสัดส่วนแบรนด์ 50% ในปีหน้า
นายธีรพล วรนิธิพงศ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากแนวโน้มตลาดอสังหา ริมทรัพย์ในปีนี้ ตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางและระดับบน ที่มีราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไปยอดขายชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากโควิด-19 จึงหันมาขยายฐานตลาดคอนโดระดับกลาง- ล่าง ระดับราคา2-3 ล้านบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ "นิว" (NUE)
โดยก่อนหน้านี้ได้ทดลอง ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อรองรับข้อจำกัดในเรื่องราคาที่ดินที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาคอนโดสูงเกินกำลังซื้อของลูกค้าส่วนใหญ่ จึงขยายฐาน ลูกค้ากลุ่มใหม่ในระดับราคาลดลง ซึ่งเป็นระดับราคาที่คนเข้าถึงได้ ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ในครึ่งหลังของปีนี้ บริษัท จะเปิดตัวคอนโดแบรนด์ "นิว" จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ นิว โนเบิล งามวงศ์วาน มูลค่า 1,800 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำตาล สถานีจุฬาเกษม เชื่อมต่อรถไฟฟ้า 5 สาย , นิว โนเบิล รัชดา - ลาดพร้าว มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ร่วมมือ กับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่ม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยแต่ละฝ่ายได้ ลงทุนในอัตราส่วน 50% ทำเล ติดรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน และ นิว โนเบิล ไฟฉาย - วังหลัง ซึ่งเป็นโครงการคอนโดไฮไรซ์ มูลค่า 1,200 ล้านบาทติดรถไฟฟ้า สถานีไฟฉาย รวมมูลค่าทั้ง 3 โครงการ 5,000 ล้านบาท
นายอรัฐ เศวตะทัต ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนา ธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากเปิดตัวนิว โนเบิล งามวงศ์วาน ราคาเริ่มต้น1.59 ล้านบาท ต่อยูนิต ล่าสุด สามารถทำยอดขายกว่า 50% จากมูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาทจากกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ และคาดว่าจะสร้างยอดขายจาก ลูกค้าต่างประเทศ 20% และจะ สามารถทำยอดขายรวมได้ 70% ส่วนโครงการนิว โนเบิล รัชดา- ลาดพร้าวราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาทต่อยูนิต และนิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกัน
โดยในปี 2564 บริษัทได้วางแผนเปิดตัวคอนโดแบรนด์นิว เพิ่ม อย่างน้อย 3 โครงการจากปัจจุบัน ที่มีที่ดินอยู่จำนวน 4 แปลงในทำเล ที่ติดรถไฟฟ้าและจุดเชื่อมต่อ ซึ่ง แต่ละโครงการใช้พื้นที่2-3ไร่ คาดว่า ในปีหน้าสัดส่วนรายได้จากแบรนด์นิวเพิ่มขึ้น 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 22% ส่วนที่เหลือจะเป็นแบรนด์ โนเบิล
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ : 4 สิงหาคม 2563