ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาสแรกปี 64 นี้ ค่อนข้างสวนทางกับภาวะและแนวโน้ม ตลาดอสังหาฯ ในเวลานี้ค่อนข้างมาก โดยตัวเลขการดาเนินงานของผู้ประกอบการในไตรมาสนี้ค่อนข้างดี หลายบริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้ยอดขายและกำไรค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการประมาณการหรือคาดการณ์แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 64 ที่ค่อนข้างแม่นยำ
ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 63 ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต่างคาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดในปี 64 ยังปรับตัวกลับมาดีขึ้นหลังจากได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนมี.ค. 63 ต่อเนื่องจนถึงปลายปี แต่หลังจากรัฐมีมาตรการคุมเข้มด้วยการล็อกดาวน์ประเทศทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่รุนแรงและยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการคาดว่าตลาดอสังหาฯ จะสามารถฟื้นตัวและกลับมาขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ในช่วงปลายปี 63 บริษัทอสังหาฯ แทบทุกค่ายเตรียมแผนการกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ หลังจากที่ชะลอการพัฒนาโครงการในช่วงปี 63 ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงต้นปี 64 นี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จะมีการชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ไปอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 2 แต่ด้วยสถานการณ์ ที่ไม่รุนแรงมากนักทำให้รัฐบาลยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดในรอบที่สองได้ค่อนข้างดี จึงส่งผลให้ยอดขายและโอนที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสหนึ่งยังสามารถขยายตัวได้ในระดับที่ดีซึ่งส่งผลต่อตัวเลขผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 64 ออกมาค่อนข้างสวนทาง กับสถานการณ์การแพร่ระบาดในช่วงปัจจุบัน
จากการรวบรวมผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 64 ของ 35 บริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่ามีรายได้รวมที่ 68,534.53 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 5.97% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,367.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.01% จากช่วงเดียวกันของปี 63 นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom : LWS), บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาใน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าว
สำหรับไตรมาสแรกปี 64 นี้ บริษัทอสังหาฯที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในตลาดคือบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โดยในไตรมาส 1 นี้ เอพีฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และ ธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 10,770 ล้านบาท เพิ่ม ขึ้น 58% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมเท่ากับ 6,820 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 618 ล้านบาท เท่ากับ 127%
ขณะที่บริษัทที่สามารถสร้างรายได้และกำไรเป็นอันดับ 2 คือ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH มีรายได้จากการขายรวม 7,140.20 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการขาย 5,048.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,091.91 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 41.44% และมีกำไรสุทธิ 1,744.41 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1.343.99 ล้านบาท หรือมีรายได้จากการขายเพิ่ม 41%
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ไตรมาสแรกมีรายได้ 3,869 ล้านบาท เติบโต 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันก็มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 825 ล้านบาท เติบโต 39% จากช่วงเดียวกันของปีที่ 63 ด้าน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ไตรมาสแรกยอดขายบ้านเดี่ยวเติบโตทุกระดับราคา ทำให้บริษัทเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ โดยเอสซีฯ มีส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยว 15% สูงเป็นอันดับ 1 ของตลาด โดยมียอดขายรวม 5,700 ล้านบาท เติบโต 188% จากช่วงเดียวกันของปี 63 โดยแบ่งเป็นยอดขายแนวราบ 4,606 ล้านบาท เติบโต 123% และยอดขายคอนโดฯ 1,094 ล้านบาท เติบโต 1,381% และมีรายได้รวม 3,965 ล้านบาทเติบโต 20% โดยมาจากรายได้จากการดำเนินงานแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 95% และรายได้จากการเช่าและบริการ 5% ส่งผลให้ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 417 ล้านบาท เติบโต 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 มีรายได้ 1,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582 ล้านบาทเติบโต 98.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 591 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท หรือ 361.8% ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 48.5% และอัตรากำไรสุทธิ 25.7% ส่วนบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 1/64 มีรายได้จากอสังหาฯเพิ่มขึ้น 322% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 138 ล้านบาท สวนกระแสโควิด-19 ซึ่งเป็นผลจากการรีแบรนด์ และขยายฐานกลุ่มลูกค้า Young generation ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้ใน ไตรมาส 1 ปี 64 บริษัทสามารถพลิกขาดทุนเป็นกำไรเป็นครั้งแรกจากขาดทุน 5 ไตรมาสติด
ด้านบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) สามารถสร้างรายได้ที่ 1,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ก่อนหน้า 36.90% และมีผลขาดทุนสุทธิ 27.80 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสนี้มีรายได้ 720.6 ล้านบาท เติบโต 41.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 508.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท และมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์(Backlog) ในมือ 6,400 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ใน ปีนี้ 2,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ใน ช่วง 3 ปีข้างหน้า
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถสร้างยอดขายและโอนได้ดีมากในช่วงไตรมาส 1/64 โดยในไตรมาสแรกมีรายได้รวม 6,827 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5% จากจำนวน 6,527 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 63 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มของรายได้จากการขายที่อยู่อาศัย 12% ทำให้ไตรมาสแรกนี้ แสนสิริมีกำไร สุทธิ 384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 521% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 63 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้ในไตรมาสแรกเติบโตอย่างมากคือ การเพิ่มขึ้นของยอดขายในโครงการมิกซ์ โปรดักส์ ถึง 274% และโครงการบ้านเดี่ยว 36% ในขณะที่รายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมลดลง 25% และ ทาวน์โฮมลดลง 18% ในไตรมาส 1/64
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวม 1422.99 ล้านบาทปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 21.85% และมีกำไรอยู่ที่ 122.87 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 47.22% โดยสาเหตุที่ทำให้กำไรในไตรมาสแรกของแอลพีเอ็นปรับตัวลดลงเกิดจากการขายโครงการอาคารชุดพักอาศัยลดลง 39.75% เนื่องจากบริษัทเร่งรับรู้รายได้จากแบ็กล็อกทั้งหมดในช่วงไตรมาสสี่ปี 63 ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ในช่วงต้นปีการทำแคมเปญการขายต่างๆ ไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีเท่าที่ควร
สำหรับ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสแรกนี้ มีรายได้รวมที่ 3,764.54 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 1.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 959.25 ล้านบาทหรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 53.96% ของช่วงเดียวกันในปีก่อนขณะที่บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสนี้มีรายได้ รวม 4,282.24 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.92% โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 638.12 ล้านบาทหรือลดลง 28.52% จากปีก่อน ด้านบริษัท เพอร์เฟค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีรายได้ในไตรมาสแรกของปี 64 อยู่ที่ 2620.96 ล้านบาทปรับตัวลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาสแรกนี้ลดลงกว่า 324.99 ล้านบาท
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีผลดำเนินการที่ดี โดยในไตรมาสแรกมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,424.60 ล้านบาทปรับตัวเพิ่ม ขึ้น 16.39% โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 481.46 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 17.14% ส่วน บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสที่ 1/64 นี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,094.14 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.45% และมีกำไรสุทธิ 336.95 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 225.3% ด้าน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) มีรายได้ รวม 1,305.63 ล้านบาทปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า กว่า 40.28% โดยมีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ 69.5% ซึ่ง ลดลงจากปี 63 กวาด 79.2%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ผลประกอบการของบริษัท อสังหาฯ ในช่วงไตรมาสแรกนี้ มีการปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกราย แต่ต้องยอมรับว่าการปรับตัวดีขึ้นดังกล่าวเกิดจากการขายและการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจะบอกได้ว่าในรอบ ที่ 3 นี้จะมีการควบคุมสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติได้หรือไม่ และสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด คือ การแพร่ระบาดในระลอกที่ 4 ซึ่งหากเกิดขึ้นในช่วงที่ระลอกที่ 3 ยัง ไม่สามารถควบคุมได้ ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกๆ อย่างจะหยุดชะงักลง ซึ่งแน่นอนว่าจะมีผลต่อการหดตัวของตลาดอสังหาฯอย่างรุนแรงอีกครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความหวังของคนไทยที่จะก้าวข้ามผ่านสถานการณ์วิกฤตจากปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้คือการฉีดวัคซีนปองกันซึ่งหากสามารถดำเนินการให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนจนถึงระดับสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศได้ สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในปีนี้อาจมีโอกาสกลับมา ฟื้นตัวได้
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา
วันที่ : 17 พฤษภาคม 2564