แสนสิริลงทุน 6แบรนด์ ธุรกิจเทคโนฯ-ไลฟ์สไตล์
“แสนสิริ” ลงทุน 2,800 ล้านบาท “6 แบรนด์”ระดับโลก กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ต่อยอดสู่“โกลบอลแบรนด์” เสริมแกร่งอสังหาฯ มุ่งสร้างแหล่งรายได้ใหม่ตลาดต่างประเทศ
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าทิศทางขยายตัวธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ (จีดีพี) ซึ่งอยู่ระดับไม่สูงนัก ขณะที่บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตสูงกว่าจีดีพีและภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาฯ จึงมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องและสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก พร้อมผลักดันให้แสนสิริ ก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลก เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
โดยให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือ 1. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย ( PropTech) ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำ และ 3. การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม
ล่าสุดได้ลงทุนมูลค่า 2,800 ล้านบาท โดยเข้าไปร่วมถือหุ้นใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่น เพื่อสร้างพันธมิตรในธุรกิจหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจ มีแนวโน้มเติบโตสูงในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ให้แสนสิรินอกประเทศไทย จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของทั้ง 6 ธุรกิจ รวมทั้งส่งผลดีต่อธุรกิจหลักด้านอสังหาฯ
ลงทุนโรงแรม-แอพจองห้องพัก
สำหรับธุรกิจที่แสนสิริ ร่วมลงทุนครั้งนี้ประกอบด้วย สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) โดยจะเป็นผู้ถือหุ้น 35% ใน 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย เดอะสแตนดาร์ด ธุรกิจโรงแรมและบริหารโรงแรมและที่พักอาศัย , Bunkhouse Group, แอพพลิเคชั่น วัน ไนท์ (One Night ) และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม
โดยแบรนด์หลัก เดอะ สแตนดาร์ด (The Standard) ธุรกิจบูติกโฮเทล มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 5 แห่ง ในนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และไมอามี และโรงแรมแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ในลอนดอน โดย เดอะ สแตนดาร์ด คือผู้บุกเบิกในธุรกิจโรงแรมแบบไลฟ์สไตล์และสร้างประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรม
สำหรับการลงทุนครั้งนี้ จะใช้เป็นเงินลงทุนในโรงแรมใหม่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มใหม่ และในการพัฒนานวัตกรรมแอพพลิเคชั่น “วัน ไนท์” สำหรับการจองโรงแรมแบบนาทีสุดท้าย เพื่อเข้าพักในวันเดียวกันโดยมีโรงแรมไลฟ์สไตล์จากทั่วโลกให้เลือก
ปีหน้า แสนสิริ มีแผนนำแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด มาบริหารที่พักอาศัยในทำเลกรุงเทพฯ
นายจิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร วัน ไนท์ กล่าวว่าการเข้ามาลงทุนของแสนสิริ จะช่วยส่งเสริมให้ วันไนท์ พัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มศักยภาพและเติบโตในตลาดนานาชาติ โดยเฉพาะในเอเชีย รวมทั้งเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ จากการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ของแสนสิริ
เกาะเทรนด์“โฮมแชริ่ง”
นอกจากนี้ได้ถือหุ้น “โฮสต์เมกเกอร์” (Hostmaker) 13% ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการบริหารการ เช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พัก โดยแสนสิริเล็งเห็นเทรนด์ home-sharing หรือการแบ่งที่พักอาศัยให้เช่ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้บริการด้านบริหารที่พักอาศัยเติบโตตามไปด้วย
ปัจจุบันโฮสต์เมกเกอร์ ดำเนินธุรกิจในลอนดอน โรม ปารีส และบาเซโลน่า โดยให้บริการลูกค้าผู้พักอาศัยมาแล้วกว่า 1.5 แสนคนทั่วโลก
ทั้งนี้ แผนการลงทุนของ โฮสต์เมกเกอร์ จะขยายธุรกิจสู่เอเชียภายใต้การสนับสนุนของแสนสิริ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากตลาดนอกประเทศไทยให้กับแสนสิริ
ลุยโคเวิร์คกิ้งสเปซ-ธุรกิจสื่อ
ส่วนใน “จัสท์โค” (JustCo) ถือหุ้น 6% ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ “โคเวิร์คกิ้ง สเปซ” ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 11 แห่ง และมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 20 แห่งในในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2561
แสนสิริ เห็นว่าในอนาคตองค์กรขนาดใหญ่จะหันมาใช้สถานที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซมากขึ้นจึงวางเป้าหมายให้ จัสท์โค ขยายการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปีหน้าจะร่วมกันเปิดตัว จัสท์โค 4 แห่งในกรุงเทพฯ เช่นอาคารเอไอเอ สาทร และ เอไอเอ แคปปิตอล รัชดาฯ รวมทั้งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในเอเชีย
ขณะที่การถือหุ้นใน ฟาร์มเชลฟ์ (Farmshelf) อยู่ที่ 5.8% ซึ่งเป็นนวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย โดยแสนสิริ จะนำนวัตกรรมดังกล่าวมาใช้ในโครงการที่พักอาศัยทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกบ้าน การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ ยังสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย
สำหรับ โมโนเคิล (Monocle) ถือหุ้น 13.2% ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจด์สื่อและรีเทล ระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการ
แผนการลงทุน โมโนเคิล จะส่งเสริมแบรนด์แสนสิริและพันธมิตร เชื่อมโยงสู่กลุ่มลูกค้าของโมโนเคิล ในตลาดนานาชาติโดยอาศัยฐานธุรกิจที่มีอยู่ทั่วโลก และยังเห็นโอกาสการพัฒนาธุรกิจที่ใช้ชื่อแบรนด์ร่วมกันในเซ็กเตอร์ใหม่ในอนาคต นอกจากนี้แสนสิริยังมีแผนในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบบมิกซ์ยูสแนวคิดใหม่ร่วมกับโมโนเคิล ในกรุงเทพฯ ในปี 2561
ปีหน้ายอดขายตปท.1.2 หมื่นล้าน
นายเศรษฐา กล่าวว่าธุรกิจหลักของแสนสิริ ยังเป็นอสังหาฯ ซึ่งมีมูลค่ายอดขายโครงการกว่า 4 หมื่น ล้านบาทต่อปี มีการทำตลาดในต่างประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ปีนี้มียอดขายจากตลาดต่างประเทศกว่า 8,000 ล้านบาท ปีหน้าตลาดต่างประเทศ คาดมียอดขาย 1.2 หมื่นล้านบาท
“การลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ ที่เป็นธุรกิจและแบรนด์ระดับโลก จะทำให้เราขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพที่ดีในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาฯ และอาศัยพันธมิตรในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาฯไปพร้อม ๆ กัน และตอกย้ำการก้าวสู่ โกลบอล แบรนด์ของ แสนสิริ”
นายวันจักร บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ 6 ธุรกิจระดับโลก ถือเป็นโมเดลใหม่เพื่อกระจายการลงทุนหลากหลายมากขึ้น ตามแผน 3 ปี (2560-2563) วางงบลงทุนในธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพ ภายใต้ สิริเวนเจอร์ 1,500 ล้านบาท
ส่วนแผนการดำเนินงานแสนสิริ ปี 2561 วางเป้าหมายยอดขายเติบโต 10-15% จากปีนี้ที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ 4 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งงบซื้อที่ดิน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/780413