จากปัจจัยที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจที่สำคัญ มีค่อนข้างหายากและมีจำกัด ส่งผลให้ราคาที่ดินค่อนข้างแพงกว่าทำเลอื่นๆ โดยเฉพาะย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4 หรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินของหน่วยงานรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นทำเลที่มี Demand ของกำลังซื้อระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการที่อยู่เป็นจำนวนมาก
ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย รายงานว่า ปัจจุบันอุปทานคอนโดมิเนียม Leasehold ในกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ระหว่างการขาย ประมาณ 7 โครงการ จำนวน 1,492 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 23,315 ล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 1,039 ยูนิต หรือคิดเป็น 70% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 1,492 ยูนิต เหลือขายประมาณ 453 ยูนิต หรือคิดเป็น 30%
ส่วนใหญ่เป็นห้องแบบ 1 ห้องนอนมากที่สุดถึง 676 ยูนิต หรือคิดเป็น 45.3% รองลงมาเป็นรูปแบบ 2 ห้องนอน 428 ยูนิต หรือคิดเป็น 28.7% และรูปแบบ 3 ห้องนอนขึ้นไปประมาณ 326 ยูนิต หรือคิดเป็น 21.8% และจากการสำรวจพบว่า รูปแบบ สตูดิโอ ขายได้มากที่สุดคือขายไปแล้วประมาณ 57 ยูนิต หรือคิดเป็น 91.9% จากอุปทานทั้งหมด 62 ยูนิต เนื่องจากมีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายน้อย รองลงมาคือ รูปแบบ 2 ห้องนอนที่ขายไปแล้ว 321 ยูนิต หรือคิดเป็น 75.0% จากอุปทานทั้งหมด 428 ยูนิต และรูปแบบ 1 ห้องนอน ขายได้ประมาณ 470 ยูนิต จากหน่วยขายทั้งหมด 676 ยูนิต หรือคิดเป็น 69.5%
จากข้อมูล พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 10,000,001 บาทขึ้นไป มากที่สุดที่ 901 ยูนิตหรือคิดเป็น 60.4% รองลงมาคือระดับราคา 3,000,001-5,000,000 บาท ที่ประมาณ 504 ยูนิต หรือคิดเป็น 33.8% และ ระดับราคา 7,500,001-10,000,000 บาท ประมาณ 63 ยูนิตหรือคิดเป็น 4.2% แต่ช่วงระดับราคา 7,500,000-10,000,000 บาท เป็นช่วงราคาที่ขายดีที่สุดที่ประมาณ 92.1% หรือขายไปแล้วประมาณ 58 ยูนิต จากหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 63 ยูนิต
เนื่องจากปัจจุบันในช่วงระดับราคานี้มีการพัฒนาออกมาน้อย รองลงมาคือระดับราคา 5,000,001-7,500,000 บาท ประมาณ 69.6% ขายได้แล้วประมาณ 16 ยูนิต จากหน่วยขายทั้งหมด 23 ยูนิต และระดับราคา 10,000,001 บาทขึ้นไป ประมาณ 56.0% คือสามารถขายไปแล้วประมาณ 1,583 ยูนิต จากหน่วยขายทั้งหมด 2,806 ยูนิต
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
22 พฤษภาคม 2562